เมื่อคนที่ฉันเกลียดกำลังจะตาย
   
“เกลียด”  ตั้งแต่จำความได้ฉันใช้ชีวิตอยู่กับคำๆนี้แล้ว 
ฉันเกลียดผัดขมๆ  เกลียดตุ๊กแกตัวโต  เกลียดการไปโรงเรียน 
ตอนเด็กๆมีเพื่อนหลายคนที่ฉันเกลียดเพราะเขาชอบแกล้งฉันแล้วฉันก็ทำอะไรเขาไม่ได้ 
ฉันอ่อนแอเกินกว่าจะแสดงความรู้สึกออกมาด้วยวาจาหรือการกระทำ 
ฉันในตอนนั้นเอาแต่ร้องไห้  นิ่งเฉย  ยอมเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวโดยไม่โต้ตอบ 
ฉันได้แต่คิดว่าฉันควรจะเข้มแข็งกว่านี้แต่ก็ไม่สามารทำได้  พอมีอะไรมากระทบอารมณ์ฉันก็ร้องไห้เสียแล้ว 
ฉันบอกตัวเองเสมอว่าวันหนึ่งต้องเข้มแข็งพอที่จะสามารถโต้ตอบคนที่เกลียดอย่างที่ใจปารถนาได้   
ความเกลียดในตัวบุคคลของฉันเลือนหายไปหลังจากจบชั้นประถม 
มันหายไปหลายปีจนฉันเกือบลืมมันไปแล้วถ้ามันไม่กลับมาอีกครั้งตอนฉันอายุ  17 
ขณะนั้นในสายตาของเพื่อนๆฉันเป็นคนเรียบๆ  เข้ากับทุกคนได้ 
ไม่มีใครคิดเกลียดฉันหรือคิดว่าคนอย่างฉันจะเกลียดใครได้แต่มันก็เป็นไปแล้ว 
“เราเกลียดมัน”  ฉันพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำทีเดียว
   
จุดเริ่มต้นของความเกลียดระหว่างเราเริ่มต้นเมื่อเราขัดแย้งกันเรื่องงาน 
ฉันเกลียดคนบ้าอำนาจและเขาก็มีนิสัยอย่างที่ว่ามา 
แถมยังเป็นคนบ้าอำนาจที่งี่เง่าที่สุดตั้งแต่ฉันเคยได้พบเจอมาด้วย 
ฉันรู้สึกไม่ชอบหน้าเขาอย่างที่สุดแล้วความอดทนของฉันก็ถึงขีดจำกัด 
“ตู้ม!”  ฉันระเบิดความเกลียดออกมาทำลายมิตรภาพระหว่างเราสองคนจนยับเยิน 
มีหลายคนพยายามให้เราสองคนคืนดี  เขาก็อยากคืนดีกับฉันแต่ทุกครั้งที่มีคนพยายามสร้างมิตรภาพใหม่ให้เรา 
ฉันก็จะทำลายมันด้วยท่าทีเย็นชาและวาจาเชือดเฉือน 
ในที่สุดทุกคนก็ยอมแพ้ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปในแบบที่ฉันต้องการ
   
ฉันไม่ยอมพูดกับเขาเลยทั้งๆที่อยู่ห้องเดียวกัน  ถ้าจะพูดด้วยก็มักจะพูดด้วยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจ 
ฉันสะใจและไม่คิดเสียใจสักนิดกับสิ่งที่ทำลงไป  เขามาวุ่นวายกับฉันเองนี่ช่วยไม่ได้ 
ฉันไม่ชอบให้คนที่เกลียดมายุ่งด้วยแม้แต่พูดคุยกับเพื่อนของฉันก็ไม่ได้ 
ฉันจะหงุดหงิดทุกครั้งที่เพื่อนพูดถึงเขา 
เพื่อนๆฉันจึงค่อนข้างระวังไม่พูดถึงเขาให้ได้ยิน 
ทุกคนรู้ดีว่าตราบใดที่ยังไม่มีเรื่องเขามากวนอารมณ์ฉันก็คือฉัน 
เป็นคนแสนดีเกลียดใครไม่เป็น  ไม่ใช่ผู้หญิงปากร้ายน่ากลัวคนนั้น
   
หนึ่งปีต่อมาความเกลียดของฉันก็ยังคงอยู่อย่างครบถ้วนมันไม่ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา 
ฉันอาจจะเลิกทำร้ายเขาด้วยคำพูดแต่ไม่คิดให้อภัย 
ทั้งๆเรื่องที่เราทะเลาะกันไม่ได้ร้ายแรงอะไรสักหน่อย  ทิฐิฉันแรงเกินกว่าจะยกโทษให้ได้ง่ายๆ 
นึกดูแล้วอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตฉันคงเรียบง่ายเกินไปเลยต้องเก็บเอาความเกลียดมาเป็นรสชาติของชีวิต 
แล้วความเกลียดของฉันก็ลดลงได้อย่างเฉียบพลันเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะ  “ตาย”
   
ฉันรู้เรื่องเขาเป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม  คำแรกที่ฉันพูดคือ “อโหสิกรรม” 
ความตายทำให้ฉันยอมยกโทษให้เขาอย่างง่ายดาย 
   
“เค้ารู้ว่าภัทรไม่ชอบหน้ามันเค้าเลยบอกภัทรเป็นคนสุดท้าย 
ภัทรจะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลมั้ย  อยู่เชียงรายเขาย้ายไปเพราะหมอที่นี่รักษาไม่ได้ 
เลือดคลั่งในสมองโอกาสรอด50/50” 
คำพูดจากปากเพื่อนทำฉันรู้สึกหวิวๆ 
สัญชาตญาณของฉันบอกว่าเขากำลังจะตาย  ทั้งๆที่ไม่รู้อาการอะไรมากแต่ฉันก็มั่นใจ 
ความรู้สึกครั้งนี้ไม่มีผิดพลาด
   
“เราไม่ไปหรอก”  ฉันตอบสั้นๆ  คนขับรถคือเพื่อนของฉันเอง 
พ่อกับแม่ไม่อนุญาตให้ฉันนั่งรถไปแน่ๆ  แล้วก็จริงดังคาด   
   
“ไปกันแต่เด็กๆแม่ไม่อยากให้ไป”  ฉันไม่ขัดคำสั่งท่านแต่ก็อดอยากรู้อาการเขาไม่ได้ 
เลยอาสาให้เพื่อนๆฝากรถไว้ที่บ้านแล้วตอนกลับก็ค่อยมาเล่าอาการเขาให้ฟัง
   
“กรณ์บอกให้รีบไปกลัวว่าจะไม่ได้เห็นมันอีก”  รัตบอกเสียงเครือ
   
ฉันไม่ตอบอะไรรัตเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี  ฉันบอกตัวเองว่าสัญชาตญาณต้องมีอะไรผิดพลาด 
พอผ่าตัดแล้วเขาก็คงจะหาย  ทุกอย่างไม่ร้ายแรงอย่างที่ฉันคิด  “คิดมากไปเองน่า”  ฉันปลอบตัวเอง
   
ห้าชั่วโมงต่อมาเพื่อนๆก็กลับ  พวกเขารู้รายละเอียดไม่มากนักเพราะเยี่ยมได้แค่  15  นาที 
พรบอกว่าเขายังคงนอนสลบไม่ได้สติอยู่ที่เตียง  ลมหายใจติดขัด  ที่จมูกกับปากมีเครื่องช่วยหายใจครอบอยู่ 
   
“ยังผ่าตัดไม่ได้เพราะเขาพึ่งไปบริจาคเลือดมาร่างกายยังไม่แข็งแรงพอค่ะ” 
เสียงรินทร์บอกคุณยายของฉันเมื่อท่านถามถึงอาการเพื่อน 
   
“เห็นแล้วเค้าสงสารจังภัทร”  รัตเอามือปิดปากทำท่าเหมือนจะร้องไห้ 
ขณะที่พรและตายังคงยิ้มได้อยู่  ส่วนฉันยังเป็นปกติ  ความเกลียดทำให้ฉันตีตัวออกห่างเขา 
ความสนิทที่มีหายไปจนหมดทำให้ไม่เกิดความเศร้าอย่างที่ควรจะเป็น  นี่เองที่เป็นความโชคดีของการเกลียดเขา
   
หลังจากเพื่อนๆกลับไปได้สักสองชั่วโมง  ลักษณ์หนึ่งในเพื่อนสนิทของเขาก็มาหาฉันที่บ้าน 
เธอเอาของที่ยืมไปมาคืนแล้วก็ไม่วายถามเรื่องเขา
   
“เมื่อวานก่อนเกิดเรื่องมันยังโทรมาหาเราอยู่เลย  บอกว่าพรุ่งนี้วันปัจฉิมแต่งตัวสวยๆล่ะจะเอากล้องไปถ่ายรูป” 
ลักษณ์เล่าด้วยท่าทางหงอยๆ
   
ฉันพูดคำว่าเห็นใจไปสองสามคำแล้วบอกว่าห่วงเรื่องเรียนต่อของเขา  ป่วยแบบนี้ใครจะไปสมัครเลือกคณะให้
ความจริงฉันอยากจะชวนพูดเรื่องอื่นต่างหาก  ฉันไม่อยากชวนคุยถึงอาการของเขาให้ลักษณ์ใจเสียไปมากกว่านี้
       
แล้วเช้าวันใหม่ก็มาถึง  เพื่อนทุกคนที่ไปโรงเรียนต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใส 
มีบางที่คุยกันเรื่องเขาแต่ส่วนใหญ่ต่างพากันถ่ายรูปและพูดคุยกันเรื่องอื่นมากกว่า
     
งานปัจฉิมนิเทศน์ผ่านไปได้ด้วยดี  ก่อนกลับทุกคนเรี่ยไรเงินเป็นค่ารักษาให้เขา 
เพื่อนบางคนบอกว่าจะไปเยี่ยมเขา  ฉันเลยฝากบอกไปว่า
   
“ฝากบอกมันด้วยแล้วกันว่าช่วยอยู่ให้เราเกลียดมันต่อไป” 
ฉันพูดจากใจจริง  ฉันยังคงอยากเกลียดเขาต่อไปถ้าไม่มีเขาแล้วฉันจะเกลียดใครล่ะ
   
บ่ายโมงเศษกลุ่มของฉันพากันมารวมตัวที่บ้านฉัน 
ทุกคนยังคุยถึงเรื่องเขาอยู่ในขณะที่ฉันทำเป็นไม่สนใจโดยการหยิบหนังสือมาอ่านเสีย 
รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเพราะหูคอยเงี่ยฟังเรื่องของเขา
   
ที่บ้านเขามีปัญหาพ่อกับแม่แยกทางกัน  “ชีวิตเขาน่าสงสาร”  ใครหลายคนพูดแบบนั้น 
ตอนนี้ก็มีปัญหาเรื่องเงินที่ใช้จ่ายค่าผ่าตัด  มีคนบอกว่าทางโรงพยาบาลจะไม่ยอมผ่าให้ถ้าไม่มีเงิน 
พวกเพื่อนฉันวิจารณ์กันไปต่างๆนาๆว่าพ่อแม่เขาไม่มีเงินเก็บเลยเหรอแล้วทำไมไม่หาเงินมาให้
   
ฉันฟังเพื่อนๆพูดกันทั้งๆที่ตายังคงจับจ้องอยู่ที่หนังสือ  ฟังไปเรื่อยๆจนโทรศัพท์มือถือของวริสดังขึ้น 
เพื่อนคนหนึ่งโทรมาจากโรงเรียนบอกว่าอยากให้ไปช่วยกันเรี่ยไรเงินน้องๆม.3 
พวกเราได้แต่ถอนใจไปช่วยแล้วจะได้อะไรวุ่นวายเปล่าๆ 
แค่ให้โรงเรียนประกาศก็คงพอแล้วพวกฉันจึงไม่ไปกันเว้นวริสที่บอกว่าไป
   
สักพักไม่รู้ทุกคนคุยอะไรกันอยู่ๆถึงได้เฮโลกันไปที่โรงเรียนหลังจากโทรศัพท์ของรัตดัง 
ได้ยินแว่วๆว่ามีคนร้องไห้แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจ 
มารู้ทีหลังว่าอาการเขาทรุดกำลังจะพากับมาที่บ้าน 
หรือจะให้พูดง่ายๆก็คือพากลับมาตายที่บ้าน 
แผนการนัดไปดูแหวนประจำกลุ่มกับงานเลี้ยงฉลองของพวกเราจึงล่มไปภายในพริบตาเพราะเขา 
ครั้งนี้ฉันไม่โกรธเขาหรอกเพราะมันเป็นเหตุสุดวิสัย  ใครจะมีอารมณ์ฉลองในขณะที่เพื่อนป่วยอยู่แบบนี้   
   
“ภัทรไม่ไปด้วยกันเหรอ”  ใครคนหนึ่งร้องถาม
   
“ไม่ล่ะ”  ฉันไม่อยากไปมันรู้สึกล้าๆอย่างไรไม่ทราบ  ถึงไปก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี  คิดได้แบบนี้ก็หันไปสนใจหนังสือแทน
   
หนังสือความยาว  322  เกือบจบแล้วเมื่อเสียงโทรศัพท์แผดเสียงดังลั่น  ฉันวางหนังสือแล้วไปรับโทรศัพท์
   
“พวกนั้นยังอยู่มั้ยภัทร”   
   
“กลับกันหมดแล้วล่ะทำไมเหรอ?”  ฉันถามพรด้วยความแปลกใจ
   
“เราอยากรู้รายละเอียดไม่รู้ว่าอะไรยังไง  ถามใครก็ไม่รู้เรื่องเลย”  เสียงพรดูหงุดหงิด 
   
“เราก็ไม่รู้เรื่องเลย”  ฉันงงกับคำถามแต่ก็บอกไป  ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆนี่นา     
   
“โยตายแล้วนะ”  พรโพล่งออกมา
   
“พูดจริงเหรอ”  ฉันสวนไปเร็วไม่แพ้กัน  รู้สึกว่าตัวชาๆ  ไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน  เขาจากไปแล้วงั้นรึ 
ทุกอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด 
เมื่อสองชั่วโมงก่อนตอนที่ฉันรู้ข่าวเขายังดีๆอยู่เลยแต่คำพูดยืนยันของพรบอกให้ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่ฝัน
   
“ไว้มันออกจากโรงบาลเมื่อไหร่เราไปเยี่ยมที่บ้านกัน”  คำพูดของญาดังก้องอยู่ในหัวฉัน
   
“รอให้เขาเอากลับบ้านมันก็ตายแล้วย่ะ”  เสียงรินทร์แย้ง 
ตามมาด้วยเสียงดุของใครอีกหลายคนว่าพูดแบบนี้ได้ยังไงแล้วก็มีเสียงหัวเราะแทรกมา 
รินทร์พูดตามสัญชาตญาณหรือเพราะอยากให้พวกเราหายเครียดฉันก็สุดจะเดา 
แต่ฉันเชื่อว่าลึกๆทุกคนกลัวว่าเขาจะตายแล้วมันก็เป็นความจริง
   
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้ตาโทรมาถามข่าว  เธอบอกว่าพรร้องไห้ใหญ่เลย 
ก่อนหน้าที่พรจะโทรหาตาฉันจับน้ำเสียงได้ว่าเสียงพรสั่นๆแต่ไม่คิดว่าคนเข้มแข็งอย่างพรจะร้องไห้ได้ 
ความสูญเสียทำให้เขาเข้มแข็งอ่อนแอลงได้เพียงนี้เชียว
   
ไม่ถึง 5  นาทีโทรศัพท์ก็ดังอีกแล้ว  คราวนี้รัตโทรมาบอกว่าศพจะมาถึงวัดกี่โมง  ตั้งศพที่วัดไหน 
ฉันเดาว่ารัตคงร้องได้ด้วย  คุยได้ไม่กี่คำก็วางสายไป  ฉันเดินไปขออนุญาตยายไปงานศพ 
โทรขออนุญาตแม่แล้วก็กลับไปอ่านหนังสือต่อจนจบ
   
เรื่องของเขาวนเวียนอยู่ในหัวฉันเป็นระยะ  ฉันหยิบหนังสือตลกมาอ่านแต่ก็หัวเราะไม่ออกเท่าไหร่ 
คงมีคนมองว่าฉันเย็นชาแต่ใครจะรู้ฉันกลัวต่างหาก  ฉันไม่อยากให้เกิดความสูญเสียไม่ว่าจะกับใคร 
ฉันอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืนเศษแต่ก็ยังข่มตาไม่ลง  เรื่องราวระหว่างฉันกับเขาหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย 
ความจริงที่ว่านี่คือชีวิตจริงไม่ใช่นวนิยายทำฉันลืมตาโพลง  ใครเลยจะคาดคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง
นอนคิดไปมาความทรงจำที่ฉันแสร้งทำลืมก็เริ่มปรากฏชัด
  “วันเกิดเราไปกินนมกันปะเราเลี้ยง”  เขาว่า  พวกเราจึงพากันไปกินอย่างไม่ขัดศรัทธา 
ของขวัญวันเกิดเขาปีนั้นฉันกับวริสซื้อเสื้อให้เขา 
สีมันชมพูแปร๊ดบาดตาแต่เขาก็ยังอุตส่าห์ใส่ไปเล่นน้ำสงกรานต์ตามความต้องการของคนซื้อ 
ส่วนฉันกับเพื่อนๆก็ใส่หมวกสีสดลายดอกที่เขาหอบหิ้วมาฝากไปเล่นน้ำจนใครๆแซวว่า “แก๊งหมวกสวย” 
ถึงตอนนี้หมวกใบนั้นก็ยังอยู่  สองปีแล้วทีฉันเก็บมันมา  ไม่รู้ทำไมถึงเก็บอย่างดีทั้งๆที่ออกจะเกลียดเขาปานนั้น
มีครั้งหนึ่งเราไปสำรวจด้านหลังโรงเรียนที่เป็นป่ามะม่วงกัน
ที่นั่นมีสระเล็กๆน้ำแห้งขอดมีพืชน้ำขึ้นอยู่เต็มไปหมด
เพื่อนๆบอกให้ฉันระวังหน่อยเนื่องจากรู้ดีถึงนิสัยซุ่มซ่ามของฉัน 
ยังไม่ทันขาดคำเพื่อนฉันก็ไหลลงไปในสระเสียแล้ว 
ทันใดนั้นมือคู่หนึ่งก็ดึงฉันไว้ไม่ให้เสียหลักตกลงไป
“เป็นไรรึเปล่า”  เขาถาม
“เปล่า  ขอบใจนะ”  ฉันยิ้มให้  ใครว่าสระนี้ไม่มีน้ำกัน  ขาฉันจมลึกเกือบถึงเข่า 
ถ้าเขาไม่คว้าไว้ฉันคงได้ใช้ตัวเองวัดความลึกของสระไปแล้ว
เขาหวังดีต่อฉันเสมอถึงบางเรื่องจะเป็นความหวังดีที่มากเกินไปก็ตาม 
ความเกลียดทำให้ฉันมองข้ามความดีเขา  แล้วคอยแต่กระทบกระเทียบให้เขาเสียใจ     
“โอ๊ย!  อึดอัด  หายใจไม่ออก  มลภาวะเป็นพิษ”  ฉันโอดครวญเมื่อเขาเข้ามาใกล้ 
หน้าตาฉันบูดบึ้งด้วยความไม่สบอารมณ์  เขาตีหน้าเศร้าวูบหนึ่งแล้วเดินหนีไป 
ฉันสะใจอย่างที่สุดแต่ตอนนี้กลับเสียใจเหลือเกิน
   
“ขยะแขยง,เกะกะ”  คำที่ฉันใช้ว่ากระทบเขาเป็นระยะแต่ตอนนี้มันกลับมาทำให้ฉันเจ็บแทน
ความรู้สึกผิดกับเรื่องราวในอดีตทำให้ฉันนอกไม่หลับเกือบทั้งคืน 
เช้าวันงานศพเขาฉันจึงตื่นสายแต่ไม่เป็นไรเพราะศพอยู่ที่เชียงรายกว่าจะเอากลับมาบ่ายคล้อยเต็มที 
ฉันกับเพื่อนไปทานข้าวข้างนอกก่อนเข้าไปช่วยงาน  ฉันแทบไม่แตะอะไรเลย 
กินอะไรไม่ลงมันเป็นแบบนี้เอง
   
พวกเราพากันไปที่งานก่อนเวลาศพมาถึง 
ตอนนั้นที่จัดงานมีคนประปรายผิดกับหลังจากไปกินข้าวกลับมาที่มีคนแน่นขนัด     
“นี่แม่โยนะขอบใจที่มากัน”  แม่เขามาจับไหล่ศศิกับรดีไว้แล้วร้องไห้ 
พวกเราทุกคนพร้อมใจกันยกมือไหว้และยังมีอาการเฉยๆนอกจากรดีที่ตาเริ่มแดง 
ความเจ็บปวดของผู้เป็นลั่งไหลมาสู่ตัวรดี 
เธอคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้น  ด้วยความเป็นคนเข้มแข็งรดีก็กลับมาเป็นปกติ 
ไม่มีน้ำตาสักหยดที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้น
   
ทุกอย่างปกติจนกระทั่งพวกเพื่อนผู้ชายยกศพเขาลงมา 
เสียงอื้ออึงจึงเงียบลงตามมาด้วยเสียงเอะอะบอกให้เรียกวิญญารคนตายลงมาจากรถ
   
“มาดูหน้าโยเร็ว  มาบอกลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย”  เท่านั้นเองเสียงร้องไห้ก็ดังระงม 
เพื่อนผู้หญิงทุกคนร้องไห้หมดยกเว้นฉันกับตาที่ยังเฉย 
เราสองคนไม่ลุกไปดูหน้าเขาเพราะรู้ตัวดีว่าคงทนกลั้นน้ำตาต่อไปไม่ได้ถ้าเห็นหน้าเขา   
เสียงสะอื้นดังๆมาจากข้างตัวฉัน  รัตร้องไห้เสียงดังแล้วซบไหลฉัน 
ฉันไม่พูดอะไรสักคำนอกจากลูบหลังลูบไหล่เพื่อนแทนคำปลอบโยน 
ในที่สุดตาก็ทนไม่ได้หลั่งน้ำตาออกมา  รอบตัวฉันจึงมีแต่คนร้องไห้เว้นแต่ฉันที่ยังเฉยอยู่ 
เสียงคร่ำครวญของคนเป็นแม่เกือบทำให้ฉันร้องไห้ออกมา 
ฉันเบือนหน้าหนีขณะที่ทุกคนจ้องมองไปทางนั้น  ฉันบอกตัวเองแล้วว่าจะไม่ร้องไห้ฉันต้องทำได้
“ภัทรไปส่งเค้าดูโยหน่อย”  รัตบอกหลังจากกลั้นสะอื้นได้
“เราไม่ไป”  ฉันตอบเสียงเรียบ  ฉันคงกลั้นน้ำตาไม่อยู่ถ้าเห็นหน้าเขา 
รัตดูเหมือนจะเข้าใจเธอขอให้เพื่อนคนอื่นไปส่งแทน 
   
ฉันเห็นน้ำตาของใครหลายคนที่ไม่คิดว่าจะร้องไห้ได้ 
เห็นความทุกข์ทรมานของญาติผู้ตายที่พบกับความสูญเสียทำฉันหดหู่ใจเหลือเกิน 
   
“เราสงสารโย”  เพื่อนคนหนึ่งพูด  เขาเสียวันที่เรารับใบประกาศนียบัตรจบการศึกษา 
พวกเรากำลังจะได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย  กำลังเดินเข้าใกล้ความฝันที่วาดไว้ไปอีกหนึ่งก้าว 
แต่สำหรับเขาแล้วทุกอย่างจบลงแล้ว  ไม่มีคำว่าอนาคตอีกต่อไป
   
“เราสงสารคนที่อยู่มากกว่า”  ฉันบอก  ฉันไม่รู้ว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไร 
ในความคิดฉันทุกอย่างจบเมื่อเราตาย 
คนที่ยังมีลมหายใจอยู่ต่างหากที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดที่ผู้จากไปทิ้งไว้ให้ 
ถ้าให้เลือกฉันคงเลือกตายมากกว่าอยู่หากต้องอยู่โดยปราศจากคนที่รัก
   
   
รูปถ่ายมากของเขากับใบประกาศเกียรติคุณถูกนำมาจัดบอร์ดโดยพวกเรา 
เขาเป็นนักกิจกรรมตัวยง  ใบประกาศที่มีจึงเยอะแยะไปหมด 
รินทร์นั่งเรียงวันที่  อีกพวกหนึ่งทำขอบ 
ฉันกับพรตัดขอบแล้วคอยส่งใบประกาศเกียรติคุณเหล่านั้นให้รดีติดลงบอร์ด
   
“ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มานั่งทำอะไรแบบนี้”  ฉันพึมพำ 
รดีสบตาฉันนิ่งแล้วงึมงำคำตอบรับเบาๆออกมา 
รูปใบหนึ่งถูกส่งมาที่มือฉัน  มันเป็นรูปกลุ่มของฉันกับเขาถ่ายด้วยกัน 
ทุกคนมีรอยยิ้มฉาบอยู่ที่ใบหน้า 
รูปใบนี้ถ่ายตอนที่เรายังไม่โกรธกัน  ฉันจ้องมองมันนานกว่าใบอื่นๆ 
ฉันเองก็มีรูปแบบนี้และยังคงเก็บมันไว้อย่างดีในลิ้นชัก 
ฉันดีใจที่ไม่ตัดส่วนที่มีเขาออกด้วยทิฐิ  รูปใบนั้นกลายเป็นของดูต่างหน้าเขาไปแล้ว 
รูปที่มีกลิ่นไอของมิตรภาพย่อมดีกว่ารูปที่ถ่ายตอนที่เราไม่เข้าใจกันเป็นไหนๆ
   
พวกเพื่อนที่สนิทกับเขาช่วยกันเขียนประวัติและความดีของเขา 
เสียงใครคนหนึ่งกระซิบบอกให้ฉันเขียนให้ 
ปกติถ้าเป็นเรื่องเขียนบทกลอนหรือความรู้สึกฉันก็จะรับผิดชอบหน้าที่นี้อยู่แล้ว
เพราะชอบเขียนและเขียนออกมาได้ดีพอใช้แต่ครั้งนี้รินทร์ขัดขึ้นก่อน
“ให้ไอ้ภัทรเขียนคงได้แต่ความเลวมันน่ะสิ”  รินทร์พูดให้ฟังดูขัน 
หลายคนหัวเราะตามเพราะรู้ดีว่าฉันไม่ถูกกับเขา 
ฉันนั่งฟังพวกเพื่อนๆช่วยกันร่างมันออกมา 
แม้ภาษาไม่สวยงามแต่ก็ออกมาจากใจ 
ถ้าให้ฉันเขียนภาษาคงจะสวยกว่านี้แต่ไม่กินใจเท่าคำพูดธรรมดาๆที่มาจากใจเหล่านั้น 
   
บ่ายสามโมงบอร์ดถูกจัดจนเกือบเสร็จพวกฉันตกลงว่าจะมาอีกทีวันเผาเลย 
พวกเราพากันไปกราบศพเขา  ป้าของเขาเป็นคนจุดธูปส่งให้พวกเรา 
ป้าเขาร้องไห้ไปจุดธูปไปและหัวเราะทั้งน้ำตา
เมื่อเพื่อนคนหนึ่งไปรับธูปมาทั้งกำแล้วสำลักควันธูปจนจามไม่หยุด
   
ฉันรับธูปมาอธิฐานอโหสิกรรมให้เขา  ขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมา 
“ต่อแต่นี้ขอให้นายไปดีนะอย่าได้มีห่วงอีกเลย  เราขอโทษกับทุกเรื่องที่ทำไป  เราไม่เกลียดนายแล้ว” 
คำขอโทษที่อาจจะสายเกินไปนี้เขาจะรับรู้ไหมฉันไม่แน่ใจ 
ถ้าดวงวิญญาณมีจริงฉันก็อยากให้เขาได้รู้ว่า
แม้เพื่อนคนนี้จะไม่เสียน้ำตาให้เขาแม้แต่หยดเดียว 
แต่ความรู้สึกในใจปวดร้าวไม่ต่างจากคนที่ร้องไห้ฟูมฟายเลยสักนิด
   
ขออุทิศแด่  นายโยธิน  กาวี  คนที่ฉันเคยเกลียด
ถึงเพื่อนทุกคน
    เรื่องนี้เขียนโครงเรื่องไว้ก่อนที่โยจะตาย  ตั้งใจว่าตอนจบเขาคงหายและเราคงได้คืนดีกัน 
ไม่คิดว่าตอนจบมันจะเศร้าแบบนี้ 
เขียนออกมาจากความรู้สึกทั้งหมดตั้งใจไว้ว่าจะเอาใส่ไปโลงให้โยด้วยเลยเร่งเขียนจนเสร็จทันงานเผา 
อยากจะทำอะไรเพื่อมันเป็นครั้งสุดท้ายถึงจะสายไปก็เถอะ   
ต้องขอโทษเพื่อนทุกคนที่อ่านด้วยที่อาจจะทำให้น้ำตาไหล
แถมยังไม่ได้ใช้ชื่อจริงทำให้ต้องเดากันแต่คิดว่าคงเดาถูก 
เรื่องนี้เอาไปลงในเว็บต่างๆ  อยากจะให้มันเป็นอุทาหรณ์เลยไม่ได้ใช้ชื่อจริง 
ขอโทษอีกครั้งสำหรับเพื่อนทุกคนที่รายชื่ออยู่ในนี้ 
ไม่ทันได้บอกกล่าวก่อนเอามาเขียนแถมยังเอาลงเว็บอีกอย่าถือสาเราล่ะกัน
ถึงโย
    ไม่แน่ใจว่านายจะได้อ่านมั้ย  โทษทีที่ถือวิสาสะใช้ชื่อจริงนายในงานเขียน 
ชื่อต่างๆของแต่ละคนในเรื่องเราจะบอกให้แล้วกันว่าใครเป็นใคร 
ไม่ได้ดูถูกนายหรอกนะว่าจะงี่เง่าขนาดเดาไม่ออก
แต่เราเผื่อเอาไว้ถ้าเกิดนายนึกไม่ออกจริงๆจะได้ไม่กลับมาถามเราให้เหนื่อย 
***************************************************
เรื่องนี้เขียนขึ้นมาจากเหตุการณ์จริงทั้งหมดค่ะ
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว  ใกล้ครบรอบวันตายเขาเลยรื้อเรื่องนี้ออกมาจากคอม
เอามาให้เพื่อนๆได้อ่านกันเป็นอุทาหรณ์
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น